เพศสัมพันธ์ขณะมีประจำเดือน
ปัจจุบันพบว่า สตรีวัยรุ่นร้อยละ 2.4 - 4 และสตรีวัยผู้ใหญ่ร้อยละ 25 - 30 มีพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ขณะมีประจำเดือน ซึ่งในกลุ่มวัยผู้ใหญ่เป็นผู้มีการศึกษาดี รายได้ดี และไม่รังเกียจความสกปรกของเลือดประจำเดือน และยังเชื่อว่าเลือดมีส่วนช่วยหล่อลื่นขณะมีเพศสัมพันธ์ และช่วยคุมกำเนิดไปในตัวด้วย ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้หญิงอีกจำนวนมากที่คิดว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นสิ่งต้องห้ามและน่ารังเกียจ
สาเหตุที่ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างการมีประจำเดือนนั้น เนื่องจากในช่วงที่มีประจำเดือนภูมิต้านทานร่างกายจะต่ำลงทำให้ง่ายต่อการติดเชื้อ หากมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างนั้นโอกาสเสี่ยงที่จะติดโรคทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองใน พยาธิในช่องคลอด หูดหงอนไก่ จะมีสูงเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า เนื่องจากปากมดลูกจะเปิดออก ทำให้เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่โพรงมดลูกได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ธาตุเหล็กที่อยู่ในเลือดประจำเดือนก็จะส่งเสริมการเจริญเติบโตของเชื้อหนองในได้เป็นอย่างดี และการที่เยื่อบุโพรงมดลูกลอกหลุดนี่เองที่ทำให้เชื้อสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้มากขึ้น เกิดการติดเชื้อลุกลามได้ง่าย โดยจะสามารถเกิดการอักเสบได้จนถึงภายหลังหมดประจำเดือนไปแล้ว 1 - 2 สัปดาห์ และที่ต้องระวังเป็นอย่างมากคือการติดเชื้อเอชไอวี
โดยปกติหากมีเพศสัมพันธ์กัน ฝ่ายหญิงมีโอกาสติดเชื้อจากฝ่ายชาย 10 ใน 10,000 ครั้งของการมีเพศสัมพันธ์ ขณะที่ฝ่ายชายจะติดจากฝ่ายหญิง 5 ใน 10,000 ครั้งของการมีเพศสัมพันธ์ แต่ถ้ามีเลือดและสารคัดหลั่งออกมาในช่วงมีประจำเดือนอัตราการติดเชื้อเอชไอวีอาจจะเพิ่มสูงขึ้นทั้งฝ่ายชายและหญิง
ดังนั้น คุณผู้ชายทั้งหลายควรสนใจและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะนอกจากเชื้อเอชไอวีแล้วยังมีเชื้อเริมซึ่งตามปกติก็ติดต่อง่ายอยู่แล้ว แต่ในช่วงมีประจำเดือนพบว่าโรคเริมกลับมาเป็นซ้ำมากกว่าเดิมทำให้แพร่เชื้อได้มากขึ้น และทำให้เกิดอาการแสบร้อนจนรำคาญ และพลอยให้หมดความรู้สึก ไม่อยากมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งถ้าหลีกเลี่ยงได้ในช่วงนี้ก็ควรจะทำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น